MSC Article
การส่งต่อทรัพย์สิน (มรดก)
เป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ว่าใครก็จะอยากจะมีทรัพย์สินไว้ใช้เพื่อความสะดวกสบาย ความมั่นคงและมั่งคั่งแก่ชีวิตของตน ซึ่งทรัพย์สินที่หามาได้นั้นนอกจากจะมีส่วนที่ต้องกินต้องใช้จนหมดไปแล้ว หลายคนยังได้กันส่วนสะสมไว้เพื่อใช้ในอนาคตของตนเองรวมไปถึงแจกจ่ายให้แก่ครอบครัวและลูกหลานด้วย อย่างไรก็ตาม แม้หลายคนจะทราบว่าต้องเก็บรักษาทรัพย์สินที่หามาได้ไว้อย่างไร แต่กลับไม่ทราบว่าควรจะส่งต่อทรัพย์สินดังกล่าวอย่างไร โดยวิธีใดและในเวลาใด และหากไม่ได้จัดการเรื่องการส่งต่อทรัพย์สินไว้ผลจะเป็นอย่างไร ในบทความนี้จะช่วยให้ท่านเข้าใจภาพรวมเกี่ยวกับเส้นทางของทรัพย์สินที่จะถูกส่งต่อไป ทั้งด้วยวิธีตามกฎหมายและวิธีตามความประสงค์ของเจ้าของทรัพย์สิน
ถ้าไม่ได้จัดการทรัพย์สินไว้ ทรัพย์สินจะตกแก่ใครบ้าง
ในกรณีที่ไม่ได้มีการจัดการทรัพย์สินไว้ เมื่อเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิตทรัพย์สินจะตกแก่ทายาทโดยธรรมตามลำดับ และตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด
ทายาทโดยธรรมที่เป็นญาติมีทั้งสิ้น 6 ลำดับดังนี้
- ผู้สืบสันดาน
ผู้สืบสันดาน หมายถึง ผู้สืบเชื้อสายโดยตรงของเจ้าของทรัพย์สิน ได้แก่ บุตร (รวมถึงบุตรบุญธรรมที่เจ้าของทรัพย์สินจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย) หลาน เหลน ลื้อ ตามลำดับ โดยในระหว่างผู้สืบสันดานด้วยกัน ผู้สืบสันดานชั้นสนิทที่สุดจะเป็นผู้มีสิทธิได้รับทรัพย์สิน เช่น ในขณะที่เจ้าของทรัพย์สินซึ่งเป็นเจ้ามรดกเสียชีวิต เจ้าของทรัพย์สินมีทั้งลูกและหลาน กรณีดังกล่าวลูกจะเป็นผู้มีสิทธิได้รับทรัพย์สิน แต่ในทางกลับกันหากลูกของเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิตไปก่อนเจ้าของทรัพย์สินแล้ว หลานของเจ้าของทรัพย์สินจะเป็นผู้มีสิทธิได้รับทรัพย์สินแทน กรณีดังกล่าวเรียกว่า “การรับมรดกแทนที่”
- บิดา มารดา
บิดา มารดา หมายถึง บิดา มารดา ที่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของทรัพย์สิน ซึ่งผู้ที่เป็นบิดาต้องจดทะเบียนสมรสกับมารดาของเจ้าของทรัพย์สินอยู่ขณะที่เจ้าของทรัพย์สินเกิดจึงจะเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของทรัพย์สิน ส่วนในกรณีของมารดาแม้จะไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับชายใดเลย มารดาก็เป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของทรัพย์สินเสมอ ทั้งนี้ บิดา มารดา ในที่นี้ไม่หมายความรวมถึงผู้รับบุตรบุญธรรม (พ่อแม่บุญธรรม) ของเจ้าของทรัพย์สิน เนื่องจากกฎหมายไม่ถือเป็นทายาทโดยธรรม
- พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน หมายถึง พี่น้องซึ่งเกิดจากบิดาและมารดาที่ชอบด้วยกฎหมายคนเดียวกับเจ้าของทรัพย์สิน
- พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน
พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน หมายถึง พี่น้องซึ่งมีแต่เฉพาะบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายคนเดียวกันกับเจ้าของทรัพย์สิน (ลูกพ่อเดียวกัน ต่างแม่) หรือพี่น้องซึ่งมีแต่เฉพาะมารดาที่ชอบด้วยกฎหมายคนเดียวกันกับเจ้าของทรัพย์สิน (ลูกแม่เดียวกัน ต่างพ่อ)
- ปู่ ย่า ตา ยาย
ปู่ ย่า หมายถึง บิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาของเจ้าของทรัพย์สิน ตา ยาย หมายถึง บิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายของมารดาของเจ้าของทรัพย์สิน
- ลุง ป้า น้า อา
ลุง ป้า น้า อา หมายถึง ที่ชาย พี่สาว น้องชาย น้องสาว ของบิดาหรือมารดาของเจ้าของทรัพย์สิน แต่ไม่รวมถึงลูกผู้พี่หรือลูกผู้น้องของบิดาหรือมารดาของเจ้าของทรัพย์สิน

ทายาทโดยธรรมทั้ง 6 ลำดับที่กล่าวมาข้างต้น เป็นผู้ที่อาจจะมีสิทธิได้รับทรัพย์สินของเจ้าของทรัพย์สินในฐานะทายาทโดยธรรมของเจ้าของทรัพย์สินเท่านั้น มิได้หมายความว่าทายาทโดยธรรมทั้ง 6 ลำดับทุกคนจะมีสิทธิได้รับทรัพย์สินของเจ้าของทรัพย์สินร่วมกัน เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ “ทายาทลำดับก่อนตัดทายาทลำดับหลัง” หมายความว่า หากทายาทโดยธรรมลำดับก่อนยังมีชีวิตอยู่หรือมี “ผู้รับมรดกแทนที่” แล้ว ทายาทโดยธรรมในลำดับถัดลงไปจะไม่มีสิทธิได้รับทรัพย์สินของเจ้าของทรัพย์สิน ทั้งนี้ ยกเว้นเฉพาะในชั้นของผู้สืบสันดานและบิดามารดาของเจ้าของทรัพย์สิน ทายาททั้ง 2 ลำดับนี้จะไม่ตัดกันเอง กล่าวคือ ในกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินมีทายาทโดยธรรมชั้นผู้สืบสันดานเป็นผู้รับทรัพย์สิน หากบิดามารดาของเจ้าของทรัพย์สินยังมีชีวิตอยู่ บิดามารดาของเจ้าของทรัพย์สินก็มีสิทธิได้รับทรัพย์สินนั้นด้วยเช่นกัน
นอกจากทายาทโดยธรรมที่เป็นญาติทั้ง 6 ลำดับแล้ว ยังมีทายาทโดยธรรมที่เป็นคู่สมรสอีกด้วย ทายาทโดยธรรมที่เป็นคู่สมรส หมายถึง คู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของทรัพย์สิน โดยทายาทโดยธรรมที่เป็นคู่สมรสจะมีสิทธิได้รับทรัพย์สินของเจ้าของทรัพย์สินในลำดับเดียวกับทายาทชั้นบุตร

ถ้าไม่มีทายาทโดยธรรมทรัพย์สินจะเป็นของใคร
เมื่อเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิตโดยไม่มีทายาทโดยธรรมและไม่ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้ใครไว้ ทรัพย์สินอันเป็นมรดกของบุคคลนั้นจะตกทอดแก่แผ่นดิน
ปัญหาจากการไม่ได้จัดการเรื่องการส่งต่อทรัพย์สิน
การที่เจ้าของทรัพย์สินไม่ได้จัดการเรื่องการส่งต่อทรัพย์ไว้ก่อนเสียชีวิต อาจทำให้ทรัพย์สินที่มีอยู่ไม่ได้ตกแก่บุคคลที่เจ้าของทรัพย์สินประสงค์จะให้ หรือบุคคลดังกล่าวอาจไม่ได้รับทรัพย์สินตามสัดส่วนที่เจ้าของทรัพย์สินตั้งใจไว้ และในบางครั้งการแบ่งปันทรัพย์สินที่ไม่ถูกต้องชัดเจนอาจเกิดเป็นปัญหาการแย่งชิงทรัพย์มรดกกันในภายหลังจนกลายเป็นเรื่องขัดแย้งรุนแรงภายในครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าของทรัพย์สินคาดไม่ถึงและไม่ประสงค์ให้เกิดขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าวเจ้าของทรัพย์สินหลายคนจึงมักเตรียมการเพื่อการส่งต่อทรัพย์สินไว้ในขณะที่ตนยังมีชีวิตอยู่

การจัดการเพื่อการส่งต่อทรัพย์สิน
การจัดการเพื่อการส่งต่อทรัพย์สินมีหลายวิธีการ โดยในบทความนี้จะขอแบ่งเป็น 2 กลุ่มตามช่วงเวลา ได้แก่
- การจัดการทรัพย์สินให้มีผลเมื่อเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิตแล้ว
- การจัดการทรัพย์สินให้มีผลในขณะที่เจ้าของทรัพย์สินยังมีชีวิตอยู่
การจัดการทรัพย์สินให้มีผลเมื่อเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิตแล้ว
การจัดการทรัพย์สินให้มีผลเมื่อเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิตแล้ว คือ การที่เจ้าของทรัพย์สินได้เตรียมการวางแผนในการส่งต่อทรัพย์สินในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่แต่จะให้มีผลใช้ได้ต่อเมื่อเจ้าของทรัพย์สินผู้นั้นเสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ การทำพินัยกรรม
พินัยกรรม คือ คำสั่งสุดท้ายซึ่งแสดงเจตนาในการกำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินต่าง ๆ ของผู้ทำพินัยกรรม เพื่อที่จะเกิดผลบังคับตามกฎหมายเมื่อผู้ทำพินัยกรรมเสียชีวิตลง โดยการทำพินัยกรรมจะต้องทำตามวิธีการใดวิธีการหนึ่งที่กฎหมายกำหนดไว้จึงจะสมบูรณ์ตามกฎหมายและสามารถใช้บังคับได้ ซึ่งมี 5 วิธีการดังต่อไปนี้
- พินัยกรรมแบบธรรมดา
- ต้องทำเป็นหนังสือ โดยจะเขียนหรือพิมพ์ก็ได้
- ต้องลงวัน เดือน ปี ที่ทำพินัยกรรม
- ผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน และพยานทั้งสองคนต้องลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมในขณะนั้น
- ในกรณีที่ต้องการแก้ไข ตก เติม ข้อความในพินัยกรรม ผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อบริเวณที่แก้ไข ตก เติม ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคน และพยานทั้งสองคนต้องลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมในขณะนั้น
- พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ
- ต้องทำเป็นหนังสือ โดยผู้ทำพินัยกรรมต้องเป็นผู้เขียนพินัยกรรมด้วยลายมือของตนเองทั้งฉบับ
- จะมีพยานลงชื่อหรือไม่ก็ได้
- ต้องลงวัน เดือน ปี ที่ทำพินัยกรรม
- ผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อเท่านั้น
- ในกรณีที่ต้องการแก้ไข ตก เติม ข้อความในพินัยกรรม ผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อบริเวณที่แก้ไข ตก เติม ดังกล่าว
- พินัยกรรมทำเป็นเอกสารฝ่ายเมือง
- ผู้ทำพินัยกรรมต้องยื่นคำร้องขอต่อสำนักทะเบียนอำเภอในกรณีทำพินัยกรรมที่ต่างจังหวัด หรือสำนักทะเบียนเขตในกรณีทำพินัยกรรมที่กรุงเทพมหานคร ให้ดำเนินการจดข้อความตามที่ผู้ทำพินัยกรรมแจ้ง ต่อหน้าพยาน 2 คนพร้อมกัน
- ผู้ทำพินัยกรรมต้องตรวจอ่านข้อความในพินัยกรรมตามที่ตนได้แจ้ง เมื่อถูกต้องแล้วให้ผู้ทำพินัยกรรมและพยานทั้ง 2 คนลงลายมือชื่อในพินัยกรรม
- นายทะเบียนต้องลงลายมือชื่อ และลงวัน เดือน ปี ที่ทำพินัยกรรม และประทับตราตำแหน่งด้วย
- พินัยกรรมทำเป็นเอกสารลับ
- ผู้ทำพินัยกรรมต้องแสดงความจำนงตามแบบของเจ้าพนักงาน ยื่นต่อสำนักทะเบียนอำเภอในกรณีทำพินัยกรรมที่ต่างจังหวัด หรือสำนักทะเบียนเขตในกรณีทำพินัยกรรมที่กรุงเทพมหานคร แล้วปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังนี้
- ผู้ทำพินัยกรรมต้องเขียนพินัยกรรมและลงลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรม
- ผู้ทำพินัยกรรมต้องผนึกพินัยกรรมแล้วลงลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมคาบรอยผนึก
- ผู้ทำพินัยกรรมต้องนำพินัยกรรมที่ผนึกแล้วนั้น ไปแสดงต่อนายทะเบียนและพยานอย่างน้อย 2 คน แล้วบอกกล่าวต่อบุคคลทั้งหมดนั้นว่าเป็นพินัยกรรมของตนรวมถึงแจ้งนามและภูมิลำเนาของตนด้วย
- นายทะเบียนต้องจดถ้อยคำของผู้ทำพินัยกรรม วัน เดือน ปี ที่ผู้ทำพินัยกรรมนำพินัยกรรมมาแสดงไว้ในซองพับและประทับตราประจำตำแหน่ง แล้วให้นายทะเบียนผู้ทำพินัยกรรม และพยานลงลายมือชื่อบนซองพับนั้น
- ผู้ทำพินัยกรรมต้องแสดงความจำนงตามแบบของเจ้าพนักงาน ยื่นต่อสำนักทะเบียนอำเภอในกรณีทำพินัยกรรมที่ต่างจังหวัด หรือสำนักทะเบียนเขตในกรณีทำพินัยกรรมที่กรุงเทพมหานคร แล้วปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังนี้
- พินัยกรรมทำด้วยวาจา
- ใช้เฉพาะกรณีที่มีพฤติการณ์พิเศษซึ่งผู้ทำพินัยกรรมไม่สามารถทำพินัยกรรมตามแบบอื่นที่กฎหมายกำหนดไว้ได้ เช่น ตกอยู่ในอัตรายใกล้ความตาย หรือมีโรคระบาด หรืออยู่ในภาวะสงคราม ซึ่งหากจะหาอุปกรณ์มาทำพินัยกรรมได้ก็อาจไม่ทันการ
- ผู้ทำพินัยกรรมต้องแจ้งข้อความแห่งพินัยรรมต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คนซึ่งอยู่พร้อมกัน ณ ที่นั้น
- พยานทั้งหมดต้องไปแสดงตนต่อสำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนเขตโดยมิชักช้า และแจ้งให้นายทะเบียนทราบข้อความที่ผู้ทำพินัยกรรมสั่งไว้ วัน เดือน ปี สถานที่ทำพินัยกรรม และพฤติการณ์พิเศษที่ทำให้ไม่สามารถทำพินัยกรรมตามแบบอื่น ๆ ที่กฎหมายกำหนดไว้ได้
- นายทะเบียนจะจดข้อความที่พยานแจ้ง และพยานทุกคนต้องลงลายมือชื่อ
- พินัยกรรมฉบับที่ทำด้วยวาจานี้จะมีผลสมบูรณ์เป็นระยะเวลา 1 เดือน นับแต่เวลาที่ผู้ทำพินัยกรรมกลับมาสู่สภาพที่จะสามารถทำพินัยกรรมแบบอื่นที่กฎหมายกำหนดได้
เนื่องจากพินัยกรรม เป็นเหมือนคำสั่งสุดท้ายของผู้ทำพินัยกรรมก่อนที่จะเสียชีวิต กฎหมายจึงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากพินัยกรรมนั้นได้ทำขึ้นตามแบบที่กฎหมายกำหนดและไม่ได้มีข้อกำหนดที่ขัดต่อกฎหมายแล้วย่อมสามารถใช้บังคับได้ มีความศักดิ์สิทธิ์เสมือนเป็นคำพูดของตัวผู้ทำพินัยกรรมเอง ทรัพย์สินอันเป็นมรดกชิ้นใดจะตกแก่บุคคลใดย่อมเป็นไปตามข้อกำหนดในพินัยกรรมทั้งสิ้น แม้บุคคลที่ถูกระบุชื่อให้เป็นผู้ได้รับทรัพย์สินตามพินัยกรรมจะมิใช่ทายาทโดยธรรมของผู้ทำพินัยกรรมก็ตาม ในทางกลับกันแม้จะเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ทำพินัยกรรมแต่หากมิได้ถูกระบุชื่อให้ได้รับทรัพย์สินตามพินัยกรรมก็จะไม่มีสิทธิได้รับทรัพย์สินดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ทรัพย์สินที่มิได้ถูกระบุไว้ในพินัยกรรมย่อมตกแก่ทายาทโดยธรรมตามกฎหมาย
การจัดการทรัพย์สินให้มีผลในขณะที่เจ้าของทรัพย์สินยังมีชีวิตอยู่
การส่งต่อทรัพย์สินให้มีผลในขณะที่เจ้าของทรัพย์สินมีชีวิตอยู่เป็นอีกแนวทางที่เป็นที่นิยม เนื่องจากเจ้าของทรัพย์สินมีโอกาสที่จะได้เห็นผลของการส่งต่อทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับด้วยตนเอง และยังทำให้สามารถวางแนวทางการส่งต่อทรัพย์สินรายการอื่น ๆ ที่อาจมีขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย ในขณะเดียวกันผู้รับทรัพย์สินก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่ได้รับได้ในทันทีโดยไม่ต้องรอให้ถึงวันที่เจ้าของทรัพย์สินจากไป
การส่งต่อทรัพย์สินให้มีผลในขณะที่เจ้าของทรัพย์สินยังมีชีวิตอยู่ เจ้าของทรัพย์สินอาจให้ทรัพย์สินแก่ผู้รับโดยมีผลให้กรรมสิทธิ์ของทรัพย์สินนั้นตกเป็นของผู้รับไปเลย หรืออาจเป็นการให้สิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ก็ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการวางแผนของเจ้าของทรัพย์สินว่าจะให้ออกมาในรูปแบบใด
การให้ทรัพย์สิน
การให้ทรัพย์สิน คือ การที่เจ้าของทรัพย์สินโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของตนให้เป็นของผู้รับ ซึ่งตามหลักกฎหมายแล้วการให้จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ ยกเว้นแต่การให้ทรัพย์สินบางจำพวกซึ่งถ้าจะซื้อขายกันต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น ที่ดิน รถยนต์ การให้ทรัพย์สินดังกล่าวจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วเท่านั้น
การส่งต่อทรัพย์สินด้วยการให้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเนื่องจากไม่มีขั้นตอนที่ซับซ้อนยุ่งยากจึงทำได้ง่ายที่สุดและเกิดผลสำเร็จรวดเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม การให้ในลักษณะนี้มีเรื่องที่ควรคำนึงถึง คือ
- “ภาษีการรับการให้” ซึ่งเป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่จัดเก็บจากมูลค่าของทรัพย์สินที่ผู้รับได้รับในส่วนที่เกิน 10 ล้านบาทในปีภาษีเดียวกันสำหรับกรณีที่ผู้รับมิใช่บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรสของเจ้าของทรัพย์สิน หรือในส่วนที่เกิน ในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทในปีภาษีเดียวกันสำหรับกรณีที่ผู้รับเป็นบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรสของเจ้าของทรัพย์สิน ซึ่งผู้รับเป็นผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการรับการให้ดังกล่าวตามกฎหมาย
- การให้นั้น โดยหลักแล้วเมื่อได้ดำเนินการจนสำเร็จลุล่วงไปแล้วจะไม่สามารถถอนคืนการให้ได้ เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้
- ผู้รับทำผิดเงื่อนไขของสัญญาให้
- ผู้รับประพฤติเนรคุณต่อผู้ให้ เช่น ผู้รับประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดฐานอาญาอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายลักษณะอาญา ผู้รับทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียงหรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง หรือผู้รับได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับยังสามารถจะให้ได้
- ผู้รับฆ่าผู้ให้ตายโดยเจตนาและไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือกีดกันผู้ให้ไว้มิให้ถอนคืนการให้
นอกจากการให้ทรัพย์สินในลักษณะโอนกรรมสิทธิ์แล้ว ยังมีวิธีการให้สิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งในทรัพย์สินซึ่งอาจมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ก็ได้ เช่น การให้ทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบอื่น ๆ การจัดให้มีธรรมนูญครอบครัว และการตั้งบริษัทโฮลดิ้ง (Holding Company)
การให้ทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบอื่น ๆ
การให้ทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบอื่น ๆ นอกจากการให้กรรมสิทธิ์ ที่เจ้าของทรัพย์สินอาจให้สิทธิแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่น
- สิทธิอาศัย หมายถึง สิทธิที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยผลของการเข้าทำนิติกรรมระหว่างคู่สัญญา เช่น เจ้าของทรัพย์สินจดทะเบียนสิทธิอาศัยให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งให้สามารถอาศัยอยู่ในบ้านของเจ้าของทรัพย์สินได้ตลอดระยะเวลาที่บุคคลนั้นมีชีวิตอยู่
- สิทธิเหนือพื้นดิน หมายถึง สิทธิที่บุคคลหนึ่งได้เป็นเจ้าของโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งเพาะปลูกบนที่ดินหรือใต้ดินของผู้อื่น
- สิทธิเก็บกิน หมายถึง สิทธิที่บุคคลสามารถครอบครองและถือเอาซึ่งประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ของบุคคลอื่น
ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ หมายถึง บุคคลที่ไม่ได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์แต่มีสิทธิได้รับการชำระหนี้จากอสังหาริมทรัพย์นั้น
การจัดให้มีธรรมนูญครอบครัว
ธรรมนูญครอบครัว คือ บันทึกข้อตกลงร่วมกันของคนในครอบครัว จัดทำโดยหัวหน้าครอบครัวและสมาชิกของครอบครัวที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีลักษณะเป็นการวางกฎ กติกา และเงื่อนไขต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกในครอบครัว เพื่อเป็นการวางแผนการจัดการในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินและธุรกิจของครอบครัว เช่น โครงสร้างของธุรกิจครอบครัว การบริหารจัดการทรัพย์สิน การจัดสรรหน้าที่และผลประโยชน์ของสมาชิกครอบครัวแต่ละคน และแผนการสืบทอดธุรกิจเพื่อส่งต่อให้แก่ทายาทรุ่นต่อไป
เนื่องจากธรรมนูญครอบครัวเป็นการตกลงกันภายในครอบครัว โดยทั่วไปแล้วจึงไม่ได้มีผลผูกพันทางกฎหมาย ไม่มีสภาพบังคับให้สมาชิกในครอบครัวต้องปฏิบัติตามหรือใช้อ้างต่อบุคคลภายนอกได้ อย่างไรก็ตาม ผู้จัดทำธรรมนูญครอบครัวอาจนำหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาใส่ไว้ในเงื่อนไขข้อตกลงต่าง ๆ ของธรรมนูญครอบครัว เพื่อให้ข้อตกลงนั้นมีผลในทางกฎหมายไปด้วย เช่น การนำหลักกฎหมายในประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ในเรื่องหุ้นส่วนบริษัทมาปรับใส่ในข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดสรรหุ้นส่วน การดำเนินงาน และการจ่ายเงินปันผล เช่นนี้แล้ว ในกรณีที่เกิดข้อพิพาทระหว่างคนในครอบครัวเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจครอบครัวก็จะสามารถนำกฎหมายดังกล่าวมาเป็นเครื่องมือช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาได้
ด้วยเหตุที่ธรรมนูญครอบครัวเป็นเสมือนกฎ กติกา สำหรับสมาชิกในครอบครัว ทำให้เกิดความเข้าใจในเรื่องของสิทธิ หน้าที่และความรับผิดชอบไปในทิศทางเดียวกัน และเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวเกี่ยวกับการแบ่งปันมรดกภายหลังเจ้าของทรัพย์สินจากไป ธรรมนูญครอบครัวจึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือวางแผนในระยะยาวที่เจ้าของทรัพย์สินหลายคนใช้สำหรับการสานต่อกิจการและส่งต่อทรัพย์สินของตนให้แก่ทายาทรุ่นต่อไป
ในปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายบังคับให้การจัดทำธรรมนูญครอบครัวต้องเป็นไปตามแบบที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น ผู้จัดทำธรรมนูญครอบครัวสามารถออกแบบและจัดทำธรรมนูญครอบครัวได้ด้วยตนเองโดยอาศัยความเห็นจากสมาชิกครอบครัว หรือโดยปรึกษานักกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อออกแบบเนื้อหา กฎ กติกา และเงื่อนไขให้ธรรมนูญครอบครัวมีความถูกต้อง รัดกุม ชัดเจน สอดคล้องกับกฎหมายและสามารถนำไปใช้ได้จริง
การตั้งบริษัทโฮลดิ้ง
บริษัทโฮลดิ้ง (Holding Company) คือ บริษัทที่ไม่ได้มีการประกอบธุรกิจเป็นของตนเอง แต่มีรายได้จากการถือหุ้นในบริษัทอื่นเป็นหลัก บริษัทที่บริษัทโฮลดิ้งไปถือหุ้นอยู่นั้นเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจทั่วไป (Operating Company) ซึ่งอาจมีได้หลายบริษัทและอาจเป็นบริษัทในไทยหรือต่างประเทศก็ได้ โดยรายได้ที่บริษัทโฮลดิ้งได้รับจะอยู่ในรูปแบบของเงินปันผล
เจ้าของทรัพย์สินที่มีธุรกิจเป็นของตัวเองแต่มีโครงสร้างองค์กรไม่ชัดเจนหรือมีสมาชิกในครอบครัวจำนวนมาก หากไม่ได้วางแผนการส่งต่อทรัพย์สินไว้เมื่อต้องแบ่งปันทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ให้แก่สมาชิกในครอบครัว อาจเกิดปัญหาความไม่ชัดเจนและตกหล่นได้ หรือในกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินเลือกที่จะโอนหุ้นของตนให้แก่สมาชิกในครอบครัว หากต่อมาคนที่ได้รับโอนหุ้นนำหุ้นดังกล่าวไปขายให้แก่บุคคลภายนอกอาจส่งผลให้ธุรกิจดังกล่าวมิใช่ของครอบครัวอีกต่อไป ซึ่งขัดกับความปรารถนาของเจ้าของทรัพย์สิน การจัดให้มีบริษัทโฮลดิ้งเพื่อการดูแลจัดสรรผลประโยชน์ให้แก่สมาชิกในครอบครัวจะทำให้เกิดความชัดเจน เป็นระบบ และสามารถตรวจสอบได้ง่าย นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดเงื่อนไขการโอนหุ้นของบริษัทโฮลดิ้งให้กระทำได้เฉพาะระหว่างบุคคลภายในครอบครัวเพื่อให้คงความเป็นธุรกิจของครอบครัวไว้ตลอดไปได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลจัดสรรผลประโยชน์และส่งต่อทรัพย์สินมีความแตกต่างจากการจัดตั้งบริษัทที่ประกอบธุรกิจทั่วไป เนื่องจากต้องมีการจัดรูปแบบต่าง ๆ ภายในองค์กรให้อยู่ในลักษณะที่เอื้ออำนวยต่อการแบ่งปันผลประโยชน์ให้แก่สมาชิกในครอบครัว ทั้งยังต้องมีความต้องสอดคล้องกับกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในเรื่องหุ้นส่วนบริษัท รวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดเป็นสภาพบังคับได้จริง การวางระบบโครงสร้างรวมถึงการจัดรูปแบบต่าง ๆ ขององค์กรจึงควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญในด้านการดำเนินธุรกิจรวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจเป็นอย่างดี
กล่าวโดยสรุป
การจัดการเพื่อการส่งต่อทรัพย์สินเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเจ้าของทรัพย์สินที่มีทรัพย์สินจำนวนมากหลากหลายประเภท มีทายาทจำนวนมาก หรือมีบุคคลที่ประสงค์จะให้เป็นผู้รับทรัพย์สินโดยเฉพาะเจาะจง เพื่อให้ทรัพย์สินถูกส่งต่อไปยังบุคคลที่เจ้าของทรัพย์สินมีความประสงค์จะให้และเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างทายาทหรือบุคคลผู้มีสิทธิได้รับทรัพย์สิน ส่วนจะเลือกจัดการด้วยวิธีการใดนั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าของทรัพย์สินโดยอาจพิจารณาจากเหตุปัจจัยต่าง ๆ เช่น ประเภทของทรัพย์สิน จำนวนทรัพย์สิน ค่าใช้จ่าย ระยะเวลาในการดำเนินการ ความพร้อมของเจ้าของทรัพย์สิน และความสามารถของผู้รับทรัพย์สิน เป็นต้น
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น มิได้มีเจตนาเป็นการให้คำปรึกษาทางกฎหมาย
หากต้องการคำปรึกษาทางกฎหมายในกรณีเฉพาะ ควรปรึกษาทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย
บทความนี้เขียนโดน
